ยาลดความดันกินก่อนหรือหลังอาหาร หนึ่งในคำถามที่พบได้บ่อยสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและผู้ดูแล เนื่องจากการกินยาให้ถูกเวลาและถูกวิธีนั้นสำคัญเป็นอย่างมาก ต่อการควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่ปกติ
ซึ่งหากกินยาผิดเวลาหรือไม่สม่ำเสมอ ก็อาจทำให้ประสิทธิภาพของตัวยาลดลง หรือที่แย่กว่า นั่นอาจทำให้ความดันโลหิตพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัวได้ ด้วยความห่วงใยจาก ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส จึงได้รวบรวมข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับ ไขข้อสงสัย “ยาลดความดัน” ควรกินก่อน หรือ หลังอาหาร มาฝากกัน
ยาลดความดัน คืออะไร มีกี่ประเภท?
ยาลดความดันโลหิต หรือ Antihypertensives คือกลุ่มยาที่ใช้ควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ สมอง และไต เช่น โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) โรคหัวใจขาดเลือด และภาวะไตวายเรื้อรัง เป็นต้น
ปัจจุบันยาลดความดันโลหิตสูงที่พบได้บ่อยจะมี 5 ประเภท ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกันไป โดยที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือเภสัชกร จะพิจารณาเลือกใช้ยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายขึ้นอยู่กับอาการที่เป็น เช่น
ประเภทของยา | ชื่อสามัญที่พบบ่อย | กลไกการทำงาน | หมายเหตุ |
1. ACE Inhibitors | Enalapril, Lisinopril | ลดการบีบตัวของหลอดเลือด | บางรายอาจมีอาการไอแห้ง |
2. ARBs | Losartan, Valsartan | คล้าย ACE แต่ไอแห้งน้อยกว่า | เหมาะกับผู้แพ้ ACE |
3. Calcium Channel Blockers | Amlodipine | ขยายหลอดเลือด ลดแรงต้าน | กินหลังอาหารช่วยลดอาการเวียนหัว |
4. Beta-blockers | Atenolol, Metoprolol | ชะลอการเต้นของหัวใจ | มักใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น |
5. Diuretics | Hydrochlorothiazide | ขับโซเดียมและน้ำ | ไม่แนะนำกินก่อนนอน |
คุณสมบัติของยาลดความดัน ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
ยาลดความดัน นอกจากจะช่วยควบคุมความดันโลหิตแล้ว ก็ยังมีคุณสมบัติและประโยชน์อื่น ๆ ที่สำคัญต่อสุขภาพของผู้ป่วยในระยะยาวในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น
- ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด การลดความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจะช่วยลดแรงดันที่กระทำต่อผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะหลอดเลือดตีบตัน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และโรคหลอดเลือดสมอง
- ป้องกันและชะลอการเกิดภาวะไตวาย ความดันโลหิตสูงเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อหลอดเลือดขนาดเล็กในไต ซึ่งการใช้ยาลดความดันบางชนิด เช่น ยากลุ่ม ACEIs และ ARBs จะช่วยลดความดันในเส้นเลือดฝอยของไต และชะลอความเสื่อมของไตได้เป็นอย่างดี
- ลดความเสี่ยงภาวะหัวใจวาย ยาลดความดันบางกลุ่ม เช่น ยาต้านเบต้า (Beta-Blockers) สามารถช่วยลดภาระการทำงานของหัวใจ ทำให้หัวใจบีบตัวได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจวาย
- ลดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ การควบคุมความดันโลหิตอย่างต่อเนื่องยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ภาวะจอประสาทตาเสื่อมจากความดันโลหิตสูง ภาวะหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าการใช้ยาลดความดันไม่ใช่เพียงแค่การลดตัวเลขความดันโลหิต แต่เป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ยาลดความดันควรกินก่อนหรือหลังอาหาร?
ขึ้นอยู่กับชนิดของยา และ คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร เนื่องจากยาแก้ความดันแต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการดูดซึมที่แตกต่างกัน บางชนิดควร ควรให้กินก่อนอาหาร เพื่อเพิ่มการดูดซึม ในขณะที่บางชนิดควร กินหลังอาหาร เพื่อลดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น
-
ยาลดความดันที่ควรกิน ก่อนอาหาร
ยาลดความดันที่แนะนำให้กินก่อนอาหารส่วนใหญ่มักเป็นยาที่การดูดซึมจะดีกว่าเมื่อท้องว่าง หรือยาที่มีปฏิกิริยากับอาหารบางประเภท ได้แก่
- ยากลุ่ม ACEIs (Angiotensin-Converting Enzyme Inhibitors) เช่น Enalapril, Lisinopril ที่แพทย์มักจะแนะนำให้กินก่อนอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้การดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- ยาต้านเบต้าบางชนิด (Beta-Blockers) เช่น Atenolol การกินขณะท้องว่างสามารถเพิ่มการดูดซึมของยา และทำให้ยามีประสิทธิภาพในการรักษาที่ดียิ่งขึ้น
ข้อควรระวัง: แม้จะแนะนำให้กินก่อนอาหาร แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการไม่พึงประสงค์ เช่น เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ซึ่งอาจจำเป็นต้องปรับวิธีการกินตามคำแนะนำของแพทย์
-
ยาลดความดันที่ควรกิน หลังอาหาร
โดยตัวยาชนิดนี้ จะถูกออกแบบมาให้สามารถกินหลังอาหารเท่านั้น เพื่อลดผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร หรือเพื่อให้การดูดซึมของยามีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อมีอาหารเป็นตัวช่วย ซึ่งจะได้แก่
- ยาปิดกั้นช่องแคลเซียม (Calcium Channel Blockers) เช่น Amlodipine, Nifedipine มักแนะนำให้กินหลังอาหารทันที หรือพร้อมอาหาร เพื่อลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น อาการปวดหัว หรืออาการบวมตามปลายมือปลายเท้า
- ยาต้านเบต้าบางชนิด (Beta-Blockers) เช่น Metoprolol ที่ควรกินหลังอาหาร เพราะจะช่วยเพิ่มการดูดซึมและลดผลข้างเคียงที่เกี่ยวกับอาการเวียนศีรษะได้
- ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) เช่น Furosemide หากกินตอนท้องว่างอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ ดังนั้น จึงแนะนำให้กินหลังอาหาร และควรหลีกเลี่ยงการกินในช่วงเย็นเพื่อไม่ให้ต้องลุกขึ้นเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนบ่อย ๆ
ข้อควรระวัง: การกินยาหลังอาหาร ควรเป็นการกินหลังอาหารมื้อหลัก ไม่ใช่มื้อของว่าง หรือกินแบบไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ และเภสัชกรก่อนการใช้ยา
-
ยาลดความดันที่สามารถกินเวลาไหนก็ได้
ยาลดความดันสูงบางชนิด สามารถกินได้ทั้งก่อนหรือหลังอาหาร เนื่องจากอาหารไม่มีผลต่อการดูดซึมของยามากนัก อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการกินยาในเวลาเดิมของทุกวัน เพื่อให้ระดับยาในเลือดคงที่และควบคุมความดันโลหิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น
- ยากลุ่ม ARBs (Angiotensin II Receptor Blockers) เช่น Losartan, Valsartan สามารถกินก่อนหรือหลังอาหารก็ได้
- ยาขับปัสสาวะบางชนิด เช่น Hydrochlorothiazide ซึ่งมักเป็นส่วนประกอบในยาลดความดันชนิดรวม
คำแนะนำจากเภสัชกร: ไม่ว่ายาชนิดไหนก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือ กินยาในเวลาเดียวกันของทุกวัน และอย่าหยุดยาเองเด็ดขาด แม้ว่าความดันโลหิตจะกลับมาเป็นปกติแล้วก็ตาม หากมีข้อสงสัยหรือไม่แน่ใจ ควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ทันที
ผลข้างเคียงจากการใช้ ยาลดความดันกินก่อนหรือหลังอาหาร แบบผิดวิธี
การกินยาลดความดันผิดเวลา ไม่ว่าจะกินก่อนหรือหลังอาหารแบบไม่ถูกต้องตามคำแนะนำ อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของยาและเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น
- ประสิทธิภาพของยาลดลง หากยาที่ควรกินตอนท้องว่างถูกกินพร้อมอาหาร อาหารบางชนิดอาจไปรบกวนการดูดซึมของยา ทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่
- ความดันโลหิตไม่คงที่ การกินยาไม่สม่ำเสมอ หรือกินยาผิดเวลาจะทำให้ระดับยาในเลือดขึ้น ๆ ลง ๆ ส่งผลให้ความดันโลหิตไม่คงที่และยากต่อการควบคุม เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตพุ่งสูง
- เพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียง ยาบางชนิด หากกินตอนท้องว่าง ทั้งที่ควรจะกินหลังอาหาร อาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หรือแสบท้องได้
- เสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำเกินไป (Hypotension) การกินยาในปริมาณมากเกินไป หรือกินยาผิดเวลาในบางกรณี อาจทำให้ความดันโลหิตลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว จนเกิดอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
คำแนะนำการใช้ยาลดความดัน จากผู้เชี่ยวชาญอย่างถูกวิธี
เพื่อให้การรักษาโรคความดันโลหิตสูงมีประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัย สิ่งสำคัญคือการใช้ยาอย่างถูกวิธีและมีวินัยอย่างสม่ำเสมอ โดยคำแนะนำที่ผู้ป่วยควรปฏิบัติ มีดังนี้
- กินยาให้ตรงเวลา หัวใจสำคัญของการรักษา โดยควรตั้งเวลาและกินยาในเวลาเดิมของทุกวัน เพื่อรักษาระดับยาในเลือดให้คงที่
- กินยาตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกร หากแพทย์แนะนำให้กินก่อนอาหาร ก็ควรกินก่อนอาหาร หากแนะนำให้กินหลังอาหาร ก็ควรกินหลังอาหาร อย่าเปลี่ยนแปลงวิธีการกินเองเด็ดขาด
- อย่าหยุดยาเอง แม้ว่าความดันโลหิตจะกลับมาเป็นปกติแล้ว ก็ไม่ควรหยุดยาเอง การหยุดยาโดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์อาจทำให้ความดันโลหิตพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นอันตราย
- จดบันทึกการกินยา หากเป็นคนขี้ลืม ควรทำตารางกินยา หรือตั้งนาฬิกาปลุกช่วยเตือน เพื่อป้องกันการลืมกินยา
- แจ้งอาการผิดปกติแก่แพทย์ หากมีอาการผิดปกติใด ๆ หลังจากการกินยา เช่น เวียนศีรษะ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรืออาการบวม ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทันที
- วัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ การวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้านอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณและแพทย์ทราบถึงแนวโน้มของความดันโลหิต และสามารถปรับการรักษาได้อย่างทันท่วงที
- หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง นอกจากการกินยาแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การลดเค็ม งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมความดันโลหิตให้ดียิ่งขึ้น
การใช้สิทธิบัตรทองขอรับยาลดความดัน
สำหรับผู้ที่มีโรคความดันสูง หรือมีอาการมึนหัวตลอดเวลา คลื่นไส้ อาเจียน และต้องการขอรับยา สามารถใช้สิทธิบัตรทอง เพื่อรับบริการที่ร้านยาที่เข้าร่วม “โครงการร้านยาคุณภาพของฉัน ให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 32 อาการ” ได้ ซึ่งจะมีเภสัชกรคอยให้คำปรึกษา และจ่ายยาที่จำเป็นโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ผู้ที่ต้องการใช้สิทธิบัตรทองสำหรับรักษาอาการคันที่ร้านยา สามารถตรวจสอบรายชื่อร้านยาใกล้บ้านได้ผ่านแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) [เช็กรายชื่อร้านยาได้ที่นี่] โดยร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ได้เข้าร่วมโครงการสิทธิบัตรทอง พร้อมให้บริการ Delivery จัดส่งยาและสินค้าสุขภาพถึงบ้าน ผ่านแอปพลิเคชัน ALL PharmaSee
ใช้บริการ Delivery คลิกเลย!
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ยาลดความดันกินก่อนหรือหลังอาหาร
Q: หากลืมกินยาไป 1 มื้อ ควรทำอย่างไร?
A: หากนึกออกภายใน 2-3 ชั่วโมง ให้กินทันที แต่หากใกล้เวลามื้อถัดไป ห้ามกินซ้อน ให้ข้ามไปเลยและกินมื้อต่อไปตามปกติ
Q: ผู้ป่วยสามารถเปลี่ยนเวลาการกินยาได้หรือไม่?
A: ได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน กรณีหากต้องการเปลี่ยนจากเช้าเป็นก่อนนอน เพื่อป้องกันการใช้ยาอย่างผิดวิธี ที่อาจส่งผลกระทบต่อระดับยาในเลือด
Q: กินยาลดความดัน กับ นมได้หรือไม่?
A: ควรหลีกเลี่ยง เพราะแคลเซียมในนมอาจรบกวนการดูดซึมของยาบางชนิด เช่น Calcium Channel Blockers เป็นต้น
สรุป: ไขข้อสงสัย “ยาลดความดัน” ควรกินก่อน หรือ หลังอาหาร
ยาลดความดันควรกินก่อน หรือ หลังอาหาร คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับชนิดของยาและคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรที่น่าเชื่อถือ ซึ่งการใช้ยาอย่างถูกต้อง ตรงเวลา และต่อเนื่อง คือกุญแจสำคัญในการควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนร้ายแรง
โดยสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้ยาลดความดัน หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับวิธีการใช้ยา ก็สามารถขอคำปรึกษาเพิ่มเติมได้ที่ ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ทุกสาขาใกล้บ้านได้ตลอดทุกที่ ทุกเวลา เพราะความเข้าใจเรื่องการใช้ยาที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้อย่างมั่นใจและส่งผลดีในระยะยาว
ที่มา
ยาลดความดันโลหิต ใช้ผิดวิธี เสี่ยงอันตรายกว่าที่คิด จาก รามา แชนแนล
High Blood Pressure Medication Guidelines จาก WebMD
Types of Blood Pressure Medication (Antihypertensives) จาก Cleveland Clinic
What time is best for blood pressure medication? จาก Mayo Clinic
อัปเดตและติดตามสาระสุขภาพดี ๆ จาก ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ได้ที่
หากมีข้อสงสัย หรืออยากสอบถามเพิ่มเติม เกี่ยวกับเรื่อง สุขภาพและการใช้ยา สามารถปรึกษากับเภสัชกรได้ที่ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสะดวกมากยิ่งขึ้น สามารถปรึกษาเภสัชกรร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ผ่าน Application ALL PharmaSee ได้ แล้วมาสุขภาพดีไปด้วยกันนะคะ
บทความที่เกี่ยวข้อง