เยื่อบุตาอักเสบจากการแพ้ตามฤดูกาล เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพตาที่พบบ่อยในช่วงเปลี่ยนฤดู โดยเฉพาะฤดูฝนหรือฤดูหนาวที่มีปริมาณฝุ่น ละอองเกสร หรือเชื้อราสะสมมากขึ้น ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติ “ภูมิแพ้ขึ้นตา” มักมีอาการกำเริบ เช่น คันตา น้ำตาไหล ตาแดง และรู้สึกระคายเคืองตลอดวัน คำถามที่ผู้ป่วยหลายคนสงสัยคือ ” เยื่อบุตาอักเสบกี่วันหาย ” และหากเป็นจากภูมิแพ้จะต้องดูแลตนเองอย่างไรให้หายไว ไม่ลุกลามหรือเรื้อรัง
ในบทความนี้ ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส จึงได้รวบรวมข้อมูลดี ๆ ให้ทุกคนเข้าใจอาการให้ลึกขึ้น พร้อมคำแนะนำ เพื่อให้สามารถดูแลดวงตาได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
สาเหตุและอาการของเยื่อบุตาอักเสบจากการแพ้ตามฤดูกาล
เยื่อบุตาอักเสบจากการแพ้ตามฤดูกาลเป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ชนิดที่ 1 (Type I Hypersensitivity Reaction) ซึ่งเกิดจากกลไกภูมิคุ้มกันในระดับเซลล์และโมเลกุล เมื่อสารก่อภูมิแพ้ (Allergen) เช่น เกสรดอกไม้ ไรฝุ่น ขนสัตว์ หรือสปอร์เชื้อรา เข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะผลิตแอนติบอดีชนิด IgE (Immunoglobulin E) ที่จำเพาะต่อสารนั้น ๆ แอนติบอดี IgE (Immunoglobulin E) จะไปจับกับผิวของเซลล์แมสต์ (Mast cells) เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง (WBC) ที่อยู่บริเวณเยื่อบุตา
เมื่อมีการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ซ้ำ IgE จะกระตุ้นให้เซลล์แมสต์ปลดปล่อยสารเคมีออกมา ได้แก่ Histamine, Leukotrienes และ Prostaglandins ซึ่งเป็นตัวกลางสำคัญในการอักเสบ ทำให้เกิดอาการหลัก เช่น
- ตาแดง จากการขยายตัวของหลอดเลือดฝอย
- ตาคัน จากการกระตุ้นปลายประสาทรับความรู้สึก
- ตาบวม หรือเยื่อบุตาบวมน้ำ (Chemosis) จากการรั่วของหลอดเลือด
- น้ำตาไหล จากการกระตุ้นต่อมน้ำตา
- ความรู้สึกแสบตา จากการอักเสบ
โรคนี้แบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ เช่น
- ภูมิแพ้ขึ้นตาตามฤดูกาล (Seasonal Allergic Conjunctivitis) มักสัมพันธ์กับเกสรดอกไม้
- ภูมิแพ้ขึ้นตาตลอดปี (Perennial Allergic Conjunctivitis) มักสัมพันธ์กับไรฝุ่นหรือขนสัตว์
- ในบางรายอาจพบเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้รูปแบบรุนแรง เช่น Vernal Keratoconjunctivitis (VKC) ซึ่งมักเกิดในเด็กและวัยรุ่น มีอาการคันตารุนแรง ตาแดง น้ำตาไหล และอาจเกิดแผลที่กระจกตา ส่วน Atopic Keratoconjunctivitis (AKC) มักพบในผู้ใหญ่ที่มีประวัติภูมิแพ้ผิวหนัง อาการจะเรื้อรังและอาจลุกลามจนกระทบต่อกระจกตา หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ทั้งสองชนิดนี้เสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็นถาวร จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์เฉพาะทาง
ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ และหากมีอาการควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม
ทำไมฤดูฝน-ฤดูหนาวจึงกระตุ้นอาการได้มากขึ้น?
ในช่วงเปลี่ยนฤดู โดยเฉพาะฤดูฝนและฤดูหนาว ความชื้นในอากาศจะสูงขึ้น ซึ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของไรฝุ่นและเชื้อรา สารก่อภูมิแพ้เหล่านี้สามารถสะสมในบ้านหรืออาคาร โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการระบายอากาศไม่ดี เช่น ช่วงที่ต้องปิดหน้าต่างหรือใช้เครื่องปรับอากาศเป็นเวลานาน ส่งผลให้ผู้ที่มีอาการภูมิแพ้มีโอกาสสัมผัสสารก่อภูมิแพ้มากขึ้นและกระตุ้นให้อาการกำเริบได้ง่าย
นอกจากนี้ ในฤดูหนาว แม้อากาศจะเย็นและแห้งในบางพื้นที่ แต่การอยู่ในห้องปิดหรือใช้เครื่องปรับอากาศนาน ๆ ก็อาจทำให้เยื่อบุตาแห้งและไวต่อการระคายเคืองมากขึ้น
สำหรับละอองเกสรพืช พบว่ามีปริมาณสูงในช่วงฤดูร้อนและฤดูเปลี่ยนผ่าน (ประมาณมีนาคม-พฤษภาคมในประเทศไทย) ซึ่งเป็นช่วงที่พืชหลายชนิดออกดอกและปล่อยละอองเกสรในอากาศสูงสุด ละอองเกสรเหล่านี้สามารถกระจายผ่านลมและเข้าตาโดยตรง ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ขึ้นตาในผู้ที่ไวต่อสารเหล่านี้
เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ ต่างจากการติดเชื้ออย่างไร?
เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Conjunctivitis)
- อาการเด่นคือ คันตามาก น้ำตาใส ตาแดง ไม่มีขี้ตาข้น
- มักไม่มีไข้หรืออาการผิดปกติอื่น ๆ
- อาการมักเกิดร่วมกับอาการภูมิแพ้อื่น เช่น คัดจมูก จาม หรือคันจมูก
- มักเป็นทั้งสองข้างพร้อมกัน
เยื่อบุตาอักเสบจากการติดเชื้อ (Infectious Conjunctivitis)
- หากเกิดจากแบคทีเรีย มักมีขี้ตาข้นเหนียว สีเหลืองหรือเขียว ตาแดง บวม และอาจมีอาการเจ็บตา
- หากเกิดจากไวรัส ขี้ตาอาจใสหรือเหนียวเล็กน้อย มักมีน้ำตาไหลมาก อาจมีอาการร่วม เช่น เจ็บคอ ไข้ หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยตาแดง
- อาจเกิดข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้
- มักมีอาการรุนแรงกว่าและอาจมีไข้หรืออาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย
เยื่อบุตาอักเสบกี่วันหาย ขึ้นอยู่กับสาเหตุ
เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ กี่วันถึงจะหาย?
โดยทั่วไป อาการเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้มักจะดีขึ้นภายใน 3–7 วัน หากได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม เช่น การใช้ยาหยอดตาต้านฮิสตามีน (เช่น Olopatadine, Ketotifen) หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ และพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างไรก็ตาม หากยังคงสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้อย่างต่อเนื่อง หรือมีพฤติกรรมขยี้ตาบ่อย อาการอาจเป็น ๆ หาย ๆ หรือกลายเป็นภูมิแพ้เรื้อรัง ซึ่งจะรักษาได้ยากขึ้นและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว
การใช้ยา Olopatadine ที่มีฤทธิ์ทั้งต้านฮิสตามีนและรักษาเสถียรภาพของเซลล์แมสต์ หรือ Ketotifen ที่ออกฤทธิ์คล้ายกันในราคาที่ย่อมเยา สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ ควรหยอดยาในเวลาที่กำหนด และกดบริเวณหัวตาเบา ๆ (nasolacrimal occlusion) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของยาและลดการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
เยื่อบุตาอักเสบจากไวรัส กี่วันหาย?
อาการเยื่อบุตาอักเสบจากไวรัสส่วนใหญ่จะดีขึ้นภายใน 7–14 วัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะไวรัสไม่ตอบสนองต่อยาในกลุ่มนี้ การรักษาหลักคือการดูแลแบบประคับประคอง เช่น หยอดน้ำตาเทียม ประคบเย็น และรักษาความสะอาดอย่างเคร่งครัด เพื่อลดการระคายเคืองและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ในบางกรณี เช่น การติดเชื้อ Adenovirus ที่รุนแรง อาการอาจยืดเยื้อถึง 2–3 สัปดาห์ โดยเฉพาะหากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น การอักเสบของกระจกตา
ควรเลือกใช้น้ำตาเทียมชนิดไม่มีสารกันเสียสำหรับผู้ที่แพ้ง่าย และดูแลสุขอนามัยรอบดวงตา เช่น การล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการขยี้ตา และไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เพื่อช่วยให้หายเร็วขึ้นและลดการแพร่เชื้อ
เยื่อบุตาอักเสบจากแบคทีเรีย ใช้เวลาฟื้นตัวนานไหม?
อาการเยื่อบุตาอักเสบจากแบคทีเรียมักจะดีขึ้นภายใน 5–7 วัน หากได้รับยาปฏิชีวนะหยอดตาอย่างเหมาะสมและใช้ครบตามคำแนะนำของแพทย์ ห้ามหยุดใช้ยาเองแม้อาการจะดีขึ้นแล้ว เพราะอาจทำให้เชื้อดื้อยาและอาการกลับมาอีกครั้งในรูปแบบที่รุนแรงขึ้น
ในบางกรณี โดยเฉพาะในเด็ก อาการอาจหายได้เองภายใน 7–10 วันแม้ไม่ได้ใช้ยาปฏิชีวนะ แต่การใช้ยาจะช่วยลดระยะเวลาการติดเชื้อ ลดการแพร่กระจายเชื้อ และลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
ควรหยอดยาให้ตรงเปลือกตาล่าง เก็บรักษายาในอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่ใช้งานร่วมกับผู้อื่น และติดตามผลการรักษา โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติการติดเชื้อซ้ำซ้อนหรือใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน
การเลือกใช้ยาหยอดตาเยื่อบุตาอักเสบ
ยาหยอดตาแอนติฮิสตามีน
- Olopatadine 0.1% ออกฤทธิ์เร็วภายใน 30 นาที และอยู่ได้นาน 8–12 ชั่วโมง เหมาะสำหรับใช้เป็นประจำก่อนออกนอกบ้านหรือก่อนสัมผัสสารก่อภูมิแพ้
- Ketotifen 0.025%: เหมาะสำหรับเด็ก ใช้ได้ตั้งแต่อายุ 3 ปีขึ้นไป ต้องใช้ทุก 6–8 ชั่วโมง และเป็นทางเลือกที่ราคาย่อมเยา
เทคนิคการหยอดตา การกดหัวตาหลังหยอดยาช่วยลดการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและลดผลข้างเคียง
ยาคอร์ติโคสเตอรอยด์เฉพาะที่
- Prednisolone Acetate 1%: แนะนำสำหรับอาการรุนแรงของเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ
- Fluorometholone 0.1%: เหมาะสำหรับอาการระดับกลางและการใช้ระยะยาว โดยต้องระวังผลข้างเคียง
- Loteprednol Etabonate 0.5%: เป็นคอร์ติโคสเตอรอยด์รุ่นใหม่ ลดความเสี่ยงต่อความดันตาสูงและต้อกระจก
ข้อแนะนำ หากใช้ต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์ ควรได้รับการประเมินร่วมกับจักษุแพทย์เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
น้ำตาเทียมและผลิตภัณฑ์เสริมอื่น ๆ
- น้ำตาเทียมที่มี Hyaluronic Acid 0.1–0.3% ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ซ่อมแซมเยื่อบุตา และลดการระคายเคือง เหมาะสำหรับใช้ควบคู่กับยาหลัก
- น้ำเกลือทางการแพทย์ แนะนำให้ใช้ล้างตาก่อนหยอดยา
ข้อแนะนำ ควรเว้นระยะห่างระหว่างยาต่างชนิด ควรเว้น 5–10 นาที เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการดูดซึมยาแต่ละชนิด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ เยื่อบุตาอักเสบกี่วันหาย
Q: เยื่อบุตาอักเสบกี่วันหาย ถ้าเป็นภูมิแพ้ขึ้นตา?
A: เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ขึ้นตาส่วนใหญ่จะหายภายใน 3–7 วัน หากหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาการอาจกลับมาเป็นซ้ำได้หากยังสัมผัสสารก่อภูมิแพ้
Q: เยื่อบุตาอักเสบกี่วันหาย ถ้าเป็นจากไวรัส?
A: เยื่อบุตาอักเสบจากไวรัสมักหายได้เองใน 7–14 วัน โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ การดูแลที่ถูกต้องจะช่วยให้อาการดีขึ้นเร็วขึ้น
Q: เยื่อบุตาอักเสบกี่วันหาย ถ้าเป็นจากแบคทีเรีย?
A: เยื่อบุตาอักเสบจากแบคทีเรียมักหายภายใน 2–7 วัน หากได้รับยาปฏิชีวนะหยอดตาอย่างเหมาะสม และควรใช้ยาตามคำแนะนำจนหมดคอร์สเพื่อป้องกันการดื้อยา
Q: ภูมิแพ้ขึ้นตาควรรักษาหรือปล่อยให้หายเอง?
A: ไม่ควรปล่อยให้หายเอง เพราะอาจนำไปสู่ภาวะเรื้อรัง การขยี้ตาเพราะอาการคันอาจนำเชื้อเข้าสู่ดวงตา และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อน เภสัชกรสามารถแนะนำยาที่เหมาะสมและลดความรุนแรงของโรคได้ตั้งแต่ระยะแรก
สรุป เยื่อบุตาอักเสบกี่วันหาย
เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้เกิดจากการที่ดวงตาสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ละอองเกสร ไรฝุ่น หรือเชื้อรา แล้วกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารก่ออักเสบ เช่น ฮิสตามีน จนเกิดอาการคัน แสบตา น้ำตาไหล และตาแดง หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจพัฒนาเป็นอาการเรื้อรังได้
การรักษาควรเริ่มตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ด้วยยาหยอดตาต้านฮิสตามีน เช่น Olopatadine หรือ Ketotifen ส่วนในรายที่อาการรุนแรง อาจต้องใช้ยาสเตอรอยด์ร่วมด้วย การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ การควบคุมสิ่งแวดล้อม และการใช้ผลิตภัณฑ์เสริม เช่น น้ำตาเทียมชนิดไม่มีสารกันเสีย ก็เป็นส่วนสำคัญในการฟื้นฟูอาการและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
หากดูแลอย่างเหมาะสม อาการจะดีขึ้นภายใน 3–7 วัน โดยมักเห็นผลภายใน 1–2 วันแรก การเข้าใจสาเหตุและเลือกใช้การรักษาอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ควบคุมอาการได้ดีในระยะยาว
ที่มา
Allergic Conjunctivitis จาก Clevelandclinic
Allergic Conjunctivitis บทความจาก msdmanuals
Vernal Conjunctivitis จาก healthline
Conjunctivitis: What Is Pink Eye บทความจาก American Academy of Ophthalmology
อัปเดตและติดตามสาระสุขภาพดี ๆ จาก ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ได้ที่
หากมีข้อสงสัย หรืออยากสอบถามเพิ่มเติม เกี่ยวกับเรื่อง สุขภาพและการใช้ยา สามารถปรึกษากับเภสัชกรได้ที่ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสะดวกมากยิ่งขึ้น สามารถปรึกษาเภสัชกรร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ผ่าน Application ALL PharmaSee ได้ แล้วมาสุขภาพดีไปด้วยกันนะคะ
บทความที่เกี่ยวข้อง