กินยากับกาแฟ ได้ไหม? ต้องเว้นกี่ชั่วโมงถึงปลอดภัย

กินยากับกาแฟ ได้ไหม? ต้องเว้นกี่ชั่วโมงถึงปลอดภัย eXta Plus

กินยากับกาแฟ หนึ่งในคำถามที่หลายคนสงสัย โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำทุกวัน และบางครั้งอาจมีความจำเป็นต้องรับประทานยาพร้อมกันกับอาหารและเครื่องดื่ม  

ซึ่งแน่นอนเลยว่า หากเลือกที่จะดื่มกาแฟเป็นตัวช่วย  ย่อมอาจไม่ใช่เรื่องปลอดภัยเสมอไปสักเท่าไหร่ เนื่องจากตัวยาบางชนิดจะมีปฏิกิริยากับคาเฟอีน หรือสารอื่น ๆ กาแฟ ที่ทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง หรือกลับเพิ่มผลข้างเคียงโดยไม่รู้ตัว 

บทความนี้ ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส จึงได้รวบรวมข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับอาการ กินยากับกาแฟ ได้ไหม? พร้อมทั้งบอกเล่าถึงกลไกที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเรากินยาร่วมกับกาแฟ ตัวอย่างยาที่ควรระวัง และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในการเว้นระยะเวลา เพื่อให้การใช้ยาเป็นไปอย่างปลอดภัยที่สุด มาฝากกัน 

 

กาแฟมีผลต่อร่างกายอย่างไร?

 

กาแฟมีผลต่อร่างกายอย่างไร? eXta Plus

 

ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นเรื่อง กินยากับกาแฟ เอ็กซ์ต้า พลัส จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าในกาแฟนั้นมีสารสำคัญอะไรบ้าง และส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายของคนเราอย่างไร 

โดย สารสำคัญในกาแฟ นอกจากจะมี คาเฟอีน (Caffeine) ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์หลักที่มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางของร่างกาย เพื่อทำให้เรารู้สึกตื่นตัว และเพิ่มสมาธิได้ดีแล้ว ก็ยังมีสารอื่น ๆ อีกด้วย เช่น   

  1. แทนนิน (Tannins) สารประกอบโพลีฟีนอลทำหน้าที่ดักจับกับแร่ธาตุ เช่น ธาตุเหล็ก หรือแคลเซียม ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการดูดซึมยาและแร่ธาตุในร่างกาย 
  2. คลอโรเจนิกแอซิด (Chlorogenic acid) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟ มีผลต่อระบบเผาผลาญ และยังมีผลต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้ หรือทำใหกระเพาะและลำไส้ไวต่อยาและอาหารมากขึ้น 

ทำให้เมื่อร่างกายคนเรามีการดื่มกาแฟเข้าไป ก็จะมีผลทั้งในส่วนของ ระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร รวมถึงระบบหัวใจและหลอดเลือดนั่นเอง จึงต้องระมัดระวังมาก ๆ สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะหรือกรดไหลย้อน และ ผู้ป่วยโรคหัวใจหรือความดันสูงที่ควรดื่มอย่างระมัดระวัง 

 

ทำไมการกินยากับกาแฟ ถึงเป็นเรื่องที่ต้องระวัง?

 

ทำไมการ “กินยากับกาแฟ” ถึงเป็นเรื่องที่ต้องระวัง? ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส

 

หลายคนอาจคิดว่าการดื่มกาแฟเป็นเพียงกิจวัตรประจำวัน และไม่น่าจะกระทบต่อการใช้ยา แต่ความเป็นจริงแล้ว กาแฟไม่ได้มีแค่คาเฟอีนที่กระตุ้นร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีสารสำคัญอื่น ๆ  อย่างแทนนินและคลอโรเจนิกแอซิดที่อาจแทรกแซงการทำงานของยาโดยตรง 

ดังนั้น การเข้าใจกลไกเหล่านี้จะช่วยให้เลือกเวลาดื่มกาแฟได้เหมาะสมและลดความเสี่ยงของอาการแทรกซ้อน ซึ่งสามารถสรุปออกมาเป็น 3 ประเด็นหลัก ๆ ดังนี้

1. ยาบางประเภท หากกินพร้อมกับยา จะเพิ่มหรือลดการดูดซึมยา 

  • ยาบำรุงธาตุเหล็กหรือแคลเซียม เมื่อกินพร้อมกาแฟ แทนนินจะจับกับแร่ธาตุ ทำให้ร่างกายดูดซึมได้น้อยลง 
  • ยาแก้ปวดบางชนิด เช่น พาราเซตามอล คาเฟอีนอาจช่วยให้ดูดซึมเร็วขึ้น แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเช่นตับทำงานหนัก 

2. การทำงานแข่งขันกับตับ

เนื่องจากตับ จัดเป็นอวัยวะหลักที่ทำหน้าที่กำจัดทั้งยาและคาเฟอีนในร่างกาย ดังนั้น การดื่มกาแฟร่วมกับยาบางชนิดอาจทำให้ตับทำงานหนัก และทำให้ยาตกค้างนานขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวัง 

3. ผลกระทบต่อระบบประสาท

คาเฟอีน อาจเสริมฤทธิ์ยาที่กระตุ้นประสาท เช่น ยาแก้แพ้บางชนิดที่ทำให้นอนไม่หลับ หรือ ไปต้านฤทธิ์ยานอนหลับที่ออกฤทธิ์กดประสาท เช่น ทำให้หลับยาก หลับไม่ลึก หรือตื่นกลางดึก เป็นต้น 

 

“ กินยากับกาแฟ ” ผลข้างเคียงที่ควรรู้

 

“กินยากับกาแฟ” ผลข้างเคียงที่ควรรู้

 

การ กินยากับกาแฟ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่แตกต่างกันไปตามชนิดของยา ดังนั้น มาดูตัวอย่างกันว่ากาแฟห้ามกินคู่กับอะไรบ้าง และควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เช่น  

1. ยาปฏิชีวนะ

ตัวอย่างยา: Ciprofloxacin, Norfloxacin
ผลข้างเคียง: การกินยาปฏิชีวนะคู่กับกาแฟ จะทำให้คาเฟอีนถูกขับออกช้าลง ซึ่งส่งผลให้ผู้รับประทานมีอาการใจสั่น กระวนกระวาย 

2. ยาแก้ปวด

ตัวอย่างยา: Paracetamol, Ibuprofen
ผลข้างเคียง: คาเฟอีนอาจเพิ่มการออกฤทธิ์ หรือ็เพิ่มโอกาสเกิดพิษต่อตับและกระเพาะ 

3. ยาโรคหัวใจและความดันโลหิต

ตัวอย่างยา: Amlodipine, Atenolol, Metoprolol, Enalapril 

ผลข้างเคียง: คาเฟอีนทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น อาจต้านฤทธิ์ยาลดความดัน หรือทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ 

4. ยาโรคไทรอยด์

ตัวอย่างยา: Levothyroxine 

ผลข้างเคียง: คาเฟอีนในกาแฟจะลดการดูดซึมยา Levothyroxine ดังนั้นแนะนำให้เว้นอย่างน้อย 4 ชั่วโมง หลังการดื่มกาแฟ 

5. ยาบำรุงและวิตามิน

ตัวอย่างยา: Ferrous sulfate, Calcium carbonate, Magnesium oxide 

ผลข้างเคียง: ธาตุเหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม จะดูดซึมได้น้อยลงหากกินพร้อมกาแฟ 

6. ยาคุมกำเนิด

ตัวอย่างยา: Ethinyl estradiol + Levonorgestrel, Desogestrel, Drospirenone 

ผลข้างเคียง: การใช้ยาคุมกำเนิดทำให้การสลายคาเฟอีนในตับช้าลง ส่งผลให้คาเฟอีนสะสมในร่างกายมากขึ้น เกิดผลข้างเคียง เช่น ใจสั่น วิตกกังวล หรือปวดศีรษะ 

ทั้งนี้ การดื่มกาแฟร่วมกับยาสามัญประจำบ้าน ส่วนใหญ่มักจะไม่มีปฏิกิริยารุนแรง แต่จะมีเพียงยาบางกลุ่มเท่านั้น ที่คาเฟอีนหรือสารประกอบในกาแฟอาจลดหรือเพิ่มประสิทธิภาพยาได้ ดังนั้น จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรที่น่าเชื่อถือก่อนการใช้ยา 

 

กินยากับกาแฟ ควรเว้นระยะห่างกี่ชั่วโมงถึงปลอดภั? 

กลุ่มยา ผลกระทบจากกาแฟ ควรเว้นระยะเวลา
ยาปฏิชีวนะ คาเฟอีนสะสม ใจสั่น 2–4 ชั่วโมง
ยาแก้ปวด หรือ ยาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย เพิ่มผลข้างเคียงต่อตับ 2 ชั่วโมง
ยาความดัน/หัวใจ ความดันสูงขึ้น หัวใจเต้นผิดปกติ 2–3 ชั่วโมง
ยาไทรอยด์ ลดการดูดซึมยา 4 ชั่วโมง
ธาตุเหล็ก/แคลเซียม ลดการดูดซึมแร่ธาตุ 2–4 ชั่วโมง
ยาคุมกำเนิด คาเฟอีนสะสมในร่างกาย 2 ชั่วโมง

โดยหลักการทั่วไป หากต้องการดื่มกาแฟควรเว้นระยะอย่างน้อย 2 ชั่วโมง ทั้งก่อนหรือหลังการกินยา เพื่อให้ร่างกายมีเวลาย่อยและดูดซึมยาได้เต็มที่  

แต่สำหรับยาบางชนิดที่มีความไวต่อการดูดซึมมาก เช่น ยาบำรุงธาตุเหล็ก หรือ ยาไทรอยด์ ควรเว้นระยะนานขึ้นเป็น 4 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้กาแฟไปรบกวนประสิทธิภาพของยา 

รวมถึงในกรณีของ ยาที่ต้องกินหลังอาหารทันที เช่น ยาลดกรดหรือยาบางกลุ่ม สามารถดื่มกาแฟได้หลังจากนั้นประมาณ 1–2 ชั่วโมง 

ส่วน ยาที่ดูดซึมช้าหรือออกฤทธิ์ยาวนาน ควรเว้นระยะห่าง 2–4 ชั่วโมง เพื่อให้ยาถูกดูดซึมอย่างเหมาะสม ซึ่งสรุปง่าย ๆ ก็คือ ยิ่งเป็นยาที่ไวต่อการดูดซึมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งควรเว้นระยะห่างจากการดื่มกาแฟให้นานขึ้นเท่านั้น 

 

หมายเหตุ: ตารางดังกล่าวเป็นเพียงคำแนะนำทั่วไป ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยา

 

ทำอย่างไรเมื่อจำเป็นต้อง กินยากับกาแฟ ?

 

ทำอย่างไรเมื่อจำเป็นต้อง กินยากับกาแฟ? เอ็กซ์ต้า พลัส

 

แม้ว่าโดยทั่วไปจะไม่แนะนำให้กินยาพร้อมกาแฟ แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้หรือเป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้ยาควบคู่กับการดื่มกาแฟ ก็ยังมีวิธีลดความเสี่ยงที่สามารถทำได้ ดังนี้ 

1. เลือกเวลากาแฟกับยาที่เหมาะสม

หากต้องการดื่มกาแฟจริง ๆ ควรจัดเวลาให้ห่างจากการกินยาออกไปหลายชั่วโมง เช่น ดื่มกาแฟในตอนเช้าแล้วรอประมาณ 2–4 ชั่วโมงก่อนกินยา หรือหากกินยาตอนเช้า ก็อาจเลื่อนการดื่มกาแฟไปช่วงสายหรือบ่ายแทน วิธีนี้ช่วยให้ยามีเวลาในการดูดซึมอย่างเต็มที่โดยไม่ถูกรบกวนจากสารในกาแฟ

2. ลดปริมาณกาแฟ

แทนที่จะดื่มวันละ 2–3 แก้ว ให้ลดลงเหลือเพียง 1 แก้วต่อวันก็เพียงพอสำหรับความสดชื่น และยังช่วยลดปริมาณคาเฟอีน แทนนิน และสารอื่น ๆ ที่อาจรบกวนการออกฤทธิ์ของยาได้ การลดปริมาณถือเป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลชัดเจน 

3. เลือกทางเลือกอื่นแทนกาแฟ

หากจำเป็นต้องใช้ยาที่ไวต่อการดูดซึมและไม่ควรดื่มกาแฟใกล้ ๆ เวลานั้น อาจเลือกเป็นเครื่องดื่มอื่นที่ไม่มีคาเฟอีน เช่น น้ำเปล่า น้ำผลไม้บางชนิด หรือชาไร้คาเฟอีน (Decaf tea) 

และสำหรับบางกรณีอาจเลือกนมหรือนมถั่วเหลืองได้ แต่ต้องระวังว่านมเองก็อาจมีผลต่อการดูดซึมยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะบางตัว ดังนั้น ควรตรวจสอบคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ 

 

การใช้สิทธิบัตรทองสำหรับผู้มีอาการ เวียนศีรษะ นอนไม่หลับ

สำหรับผู้ที่มีอาการเวียนศีรษะ นอนไม่หลับ หรือสงสัยเรื่องการใช้ยา สามารถขอคำแนะนำเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อปรึกษาเรื่องพฤติกรรม และการใช้ยาอย่างตรงจุด โดยใช้สิทธิบัตรทอง เพื่อรับบริการที่ร้านยาที่เข้าร่วม “โครงการร้านยาคุณภาพของฉัน ให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 32 อาการ” ได้ ซึ่งจะมีเภสัชกรคอยให้คำปรึกษา และจ่ายยาที่จำเป็นโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 

ผู้ที่ต้องการใช้สิทธิบัตรทองสำหรับรักษาอาการคันที่ร้านยา สามารถตรวจสอบรายชื่อร้านยาใกล้บ้านได้ผ่านแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) [เช็กรายชื่อร้านยาได้ที่นี่] โดยร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ได้เข้าร่วมโครงการสิทธิบัตรทอง พร้อมให้บริการ Delivery จัดส่งยาและสินค้าสุขภาพถึงบ้าน ผ่านแอปพลิเคชัน ALL PharmaSee 

ทั้งนี้ หากมีอาการรุนแรง เช่นมีไข้ ปวดหลัง หรือมีเลือดในปัสสาวะ แนะนำควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล 

 

ใช้บริการ Delivery คลิกเลย!

 

คำถามพบบ่อย เกี่ยวกับ กินยากับกาแฟ 

Q: หลังกินยา กินกาแฟได้ไหม? 

A: ขึ้นอยู่กับชนิดของยา เนื่องจากสารสำคัญในกาแฟอย่างคาเฟอีนและแทนนิน อาจส่งผลต่อการดูดซึมและประสิทธิภาพของยา ดังนั้นหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามแพทย์หรือปรึกษาเภสัชกรที่น่าเชื่อถือใกล้บ้าน 

Q: ดื่มกาแฟดำจะมีผลเหมือนกาแฟใส่นมหรือไม่? 

A: คาเฟอีนยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่หากใส่นม อาจยิ่งลดการดูดซึมของยาและแร่ธาตุบางชนิด 

Q: กินยากับชาได้ไหม? 

A: ไม่แนะนำ หากไม่มั่นใจว่ายาที่กินสามารถทานคู่กันได้ไหม โดยเฉพาะชาเขียวและชาดำ เพราะมี “แทนนิน” และ “คาเฟอีน” ซึ่งส่งผลต่อการดูดซึมและการออกฤทธิ์ของยาบางชนิดคล้ายกับกาแฟ

Q: ดื่มกาแฟแบบคาเฟอีนน้อย (Decaf) กินยาพร้อมกันได้หรือไม่? 

A: ถึงแม้ว่าคาเฟอีนน้อยมาก จะปลอดภัยกว่า แต่ก็ควรระวังเรื่องแทนนินที่ยังมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุ 

 

สรุป 

การ กินยากับกาแฟ อาจทำให้ยาบางชนิดดูดซึมได้น้อยลง หรือเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง เนื่องจากในกาแฟมีสารสำคัญอย่าง คาเฟอีน แทนนิน และคลอโรเจนิกแอซิด ที่สามารถรบกวนกลไกการทำงานของยา หรือทำให้มีอาการอื่น ๆ เกิดขึ้นได้ เช่น กรดไหลย้อน โรคหัวใจ 

ดังนั้น หากไม่แน่ใจ ควรกินยาหลังกินกาแฟอย่างน้อย 120240 นาที หรือ 2–4 ชั่วโมง ก่อนรับประทานยา และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเมื่อมีข้อสงสัย เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้ยาปลอดภัยและได้ผลดีที่สุด 

 

ที่มา 

Should You Avoid Caffeine with Hypothyroidism? จาก Healthline 

Should you mix coffee and medicine? จาก MedicalNewsToday 

Coffee can interfere with your medication – here’s what you need to know จาก Theconversation 

How Coffee Interferes With Synthroid (Levothyroxine) จาก Verywellhealth 

Do Coffee and Caffeine inhibit iron absorption? จาก Vinmec 

 


อัปเดตและติดตามสาระสุขภาพดี ๆ จาก ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ได้ที่

LINE: @eXtaPlus (https://bit.ly/eXtaplus)

หากมีข้อสงสัย หรืออยากสอบถามเพิ่มเติม เกี่ยวกับเรื่อง สุขภาพและการใช้ยา สามารถปรึกษากับเภสัชกรได้ที่ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสะดวกมากยิ่งขึ้น สามารถปรึกษาเภสัชกรร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ผ่าน Application ALL PharmaSee ได้ แล้วมาสุขภาพดีไปด้วยกันนะคะ

All Pharma See

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายการใช้คุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์และประเมินผลใช้งาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ช่วยให้เอ็กซ์ต้าเห็นการปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้งานในการใช้บริการเว็บไซต์ของเอ็กซ์ต้า รวมถึงหน้าเพจหรือพื้นที่ใดของเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยม ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูลด้านอื่นๆ เอ็กซ์ต้ายังใช้ข้อมูลนี้เพื่อการปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์และเพื่อเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งาน อย่างไรก็ดี ข้อมูลที่คุกกี้นี้เก็บรวบรวมจะเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้และนำมาใช้วิเคราะห์ทางสถิติเท่านั้น การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้เอ็กซ์ต้าไม่สามารถทราบปริมาณผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ และไม่สามารถประเมินคุณภาพการให้บริการได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการโฆษณา (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้เป็นคุกกี้ที่เกิดจากการเชื่อมโยงเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม ซึ่งเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานและเว็บไซต์ที่ท่านได้เข้าเยี่ยมชม เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่นที่ไม่ใช่เว็บไซต์ของเอ็กซ์ต้า ทั้งนี้หากท่านปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะไม่ส่งผลต่อการใช้งานเว็บไซต์ของเอ็กซ์ต้า แต่จะส่งผลให้การนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่นๆ ไม่สอดคล้องกับความสนใจของท่าน
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึก