วิตามิน อี อาหารธรรมชาติ vs อาหารเสริม แบบไหนดีกว่ากัน

วิตามิน อี อาหาร แบบธรรมชาติ กับ เสริม อันไหนดีกว่า? eXta Plus

วิตามิน อี หนึ่งในสารอาหารสำคัญที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ซึ่งหลายคนมักจะรู้จักกันในฐานะ “วิตามินเพื่อผิวสวย” หรือ “วิตามินช่วยลดรอยแผล” ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยฟื้นฟูระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายได้อย่างดี

อย่างไรก็ตาม หลายคนยังคงมีข้อสงสัย เกี่ยวกับการรับประทานวิตามินชนิดดังกล่าว ว่าควรเลือกทานแบบไหนดีระหว่าง จากอาหารธรรมชาติ และ อาหารเสริม เพื่อให้ร่างกายของเราสามารถนำไปดูดซึมใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ในบทความนี้ ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ วิตามิน อี อาหาร ธรรมชาติ vs อาหารเสริม พร้อมเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย เพื่อให้ทุกคนได้เลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับร่างกายและไลฟ์สไตล์ของตัวเอง มาฝากกัน 

 

วิตามิน อี สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย คืออะไร? 

 

วิตามิน อี สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย คืออะไร? eXta Plus

 

วิตามินอี (Vitamin E) คือสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่ละลายในไขมันได้ ร่างกายจึงต้องอาศัยไขมันเล็กน้อยเพื่อช่วยในการดูดซึม โดยวิตามินอีมีทั้งหมด 8 รูปแบบ แต่ที่มีความสำคัญต่อร่างกายมากที่สุดคือ อัลฟา-โทโคฟีรอล (Alpha-tocopherol)  

โดยประโยชน์ของวิตามินอี คือ 

  1. ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายของอนุมูลอิสระ 
  2. ชะลอการเสื่อมของเซลล์ ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง 
  3. เสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย 
  4. ช่วยเรื่องการไหลเวียนของเลือด ลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด 
  5. ส่งเสริมสุขภาพผิว ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น ลดการอักเสบและริ้วรอย  
  6. สนับสนุนการทำงานของระบบสืบพันธุ์ 

ซึ่งวิตามินชนิดนี้ ร่างกายจะไม่สามารถผลิตได้เอง ดังนั้น การเลือกรับประทานจากอาหาร หรือ อาหารเสริม จึงถือเป็นทางเลือกที่ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ 

 

วิตามิน อี เราสามารถหาพบได้จาก อาหารประเภทไหนบ้าง ?

แม้ว่าวิตามินอีจะพบได้จากอาหารหลากหลายชนิดที่เรารับประทานอยู่ทุกวัน แต่ในปัจจุบันคนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะพึ่งพาอาหารเสริมเพื่อความสะดวกและมั่นใจว่าร่างกายได้รับในปริมาณเพียงพอ โดยสำหรับ vitamin e เราสามารถพบได้จากอาหาร 2 ประเภท คือ

 

ประเภทที่ 1: วิตามินอี อาหารจากธรรมชาติ

 

วิตามินอี อาหารจากธรรมชาติ ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส

 

เป็นแหล่งที่ร่างกายดูดซึมได้ดีและปลอดภัย เพราะได้รับพร้อมสารอาหารอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมการทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถพบได้ในอาหาร อย่างเช่น 

  • น้ำมันพืช: น้ำมันดอกทานตะวัน, น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันรำข้าว 
  • ถั่วและเมล็ดพืช: อัลมอนด์, เมล็ดทานตะวัน, เมล็ดฟักทอง, ถั่วลิสง 
  • ผักใบเขียว: ผักโขม, คะน้า, บรอกโคลี 
  • ผลไม้: อะโวคาโด, มะม่วงสุก, กีวี, มะเขือเทศ 
  • ธัญพืชเต็มเมล็ดและผลิตภัณฑ์เสริมวิตามิน: ซีเรียลธัญพืช, ข้าวโอ๊ต 

ข้อดีของ “วิตามินอี” อาหารจากธรรมชาติ

  1. ช่วยให้ร่างกายสามารถได้รับสารอาหารที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ใยอาหาร วิตามินซี วิตามินบี แร่ธาตุ และไขมันดี เป็นต้น 
  2. มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากแทบไม่มีการสะสมเกินขนาด เพราะร่างกายมีการนำไปใช้และปรับสมดุลได้เองตามธรรมชาติ 

 

ประเภทที่ 2: วิตามินอีจากอาหารเสริม

 

การรับประทานวิตามินอีจากอาหารเสริม eXta Plus

 

อีกหนึ่งรูปแบบ อาหารเสริมวิตามินอี ในรูปแบบสังเคราะห์หรือสกัดเข้มข้น ที่มักหาซื้อและพบได้ในรูปแบบ แคปซูล, ซอฟเจล, เม็ดเคี้ยว, ผงชงดื่ม ซึ่งมักจะเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมเรื่องไขมัน, ไม่ค่อยรับประทานอาหารหลากหลาย หรือ ต้องการเสริมเฉพาะทาง เช่น บำรุงผิว, ภาวะมีบุตรยาก, โรคเรื้อรังบางชนิด ฯลฯ โดยรูปแบบที่มักพบ คือ  

1. d-alpha-tocopherol (Vitamin Natural Form) 

  • เป็นวิตามินอีที่สกัดจากธรรมชาติ เช่น น้ำมันพืช 
  • ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ได้ดีกว่าแบบสังเคราะห์ 
  • มักพบในอาหารเสริมราคาสูงกว่า แต่ให้ประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับวิตามินอีจากอาหารจริง

2. dl-alpha-tocopherol (Synthetic Form) 

  • เป็นวิตามินอีสังเคราะห์ที่ผลิตในห้องปฏิบัติการ 
  • ราคาถูกกว่า และประสิทธิภาพการดูดซึมและการทำงานของร่างกายต่ำกว่า 
  • มักใช้ในอาหารเสริมทั่วไปหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารราคาประหยัด 

3. แบบผสม (Mixed Tocopherols) 

  • ประกอบด้วย alpha, beta, gamma และ delta tocopherol 
  • เลียนแบบการได้รับวิตามินอีจากอาหารธรรมชาติ ซึ่งปกติร่างกายไม่ได้รับแค่ alpha อย่างเดียว 
  • เชื่อว่ามีผลเสริมฤทธิ์กันในการต้านอนุมูลอิสระและช่วยสนับสนุนสุขภาพได้รอบด้านมากกว่า 

ข้อดีและข้อจำกัดของ “วิตามินอี” จากอาหารเสริม 

  1. สะดวก พกพาง่าย สามารถควบคุมปริมาณได้แน่นอน 
  2. หากเกิน 400 IU ต่อวัน โดยไม่จำเป็น อาจเสี่ยงเลือดออกง่ายและสะสมจนเป็นพิษ 

 

หากขาด วิตามิน อี จะมีอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายบ้าง?

แม้ว่าการขาดวิตามิน e จะไม่พบได้บ่อยในคนทั่วไป แต่หากเกิดขึ้นก็ส่งผลต่อร่างกายหลายด้าน เช่น 

  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง อ่อนเพลียง่าย 
  • ภูมิตก ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น 
  • ระบบประสาทมีปัญหา เช่น ชา กล้ามเนื้อสั่น 
  • ภาวะโลหิตจางจากการที่เม็ดเลือดแดงถูกทำลายง่าย 
  • ผิวหนังแห้ง มีริ้วรอยหรือแผลหายช้า 

โดยทั่วไป ปริมาณวิตามินอีที่ร่างกายต้องการต่อวัน อยู่ที่ประมาณ 15 มิลลิกรัม สำหรับผู้ใหญ่

 

ตารางเปรียบเทียบ วิตามิน อี อาหาร จากธรรมชาติ VS อาหารเสริม 

หัวข้อเปรียบเทียบ จากอาหารธรรมชาติ จากอาหารเสริม
การดูดซึม ร่างกายดูดซึมได้ดีเพราะมีไขมันและสารอาหารอื่นช่วยเสริม ดูดซึมได้แต่ขึ้นอยู่กับการทานพร้อมอาหารที่มีไขมัน
ความปลอดภัย ปลอดภัย ไม่เสี่ยงสะสมเกินพอดี เสี่ยงสะสมหากทานเกินขนาด (เช่น >400 IU/วัน)
คุณประโยชน์ร่วม ได้สารอาหารอื่น ๆ เช่นใยอาหาร แร่ธาตุ ให้เฉพาะวิตามินอีอย่างเดียว
ความสะดวก ต้องเลือกกินหลากหลาย อาจไม่สะดวกในบางคน ง่าย แค่ทานแคปซูลหรือเม็ด
ราคา คุ้มค่าในระยะยาวจากการกินอาหารปกติ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมต่อเดือน
เหมาะสำหรับใคร คนทั่วไปที่สามารถกินอาหารครบหมู่ คนที่มีปัญหาการดูดซึม หรือได้รับคำแนะนำจากแพทย์

 

วิธีการรับประทาน วิตามินอี แบบธรรมชาติ และ อาหารเสริม อย่างถูกต้อง

1. การทานวิตามินอีจากอาหารธรรมชาติ

การได้รับวิตามินอีจากอาหารถือเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด เพราะร่างกายสามารถควบคุมการดูดซึมและการใช้ได้เอง ลดความเสี่ยงการสะสมเกินพอดี 

  • เลือกน้ำมันพืชที่ดี เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรใช้น้ำมันทอดซ้ำ เพราะจะทำให้วิตามินอีเสื่อมสลายและเกิดสารอนุมูลอิสระแทน 
  • กินถั่วและเมล็ดพืชวันละกำมือ โดยอาหารที่มีวิตามิน เช่น อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง หรืองาดำ เป็นแหล่งวิตามินอีที่ดีมาก แนะนำให้กินแบบไม่ปรุงรสมากเกินไป (ไม่เค็มจัด/ไม่หวานจัด) เพื่อคงคุณค่าทางโภชนาการ 
  • กินผักใบเขียวและผลไม้สดเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็น ผักโขม คะน้า บรอกโคลี รวมถึงผลไม้ที่มีไขมันดี เพราะมีวิตามิน e อยู่ในอาหาร เช่น อะโวคาโด ที่ช่วยเสริมทั้งวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ เช่น วิตามินซี ที่ทำงานร่วมกันได้ดี 
  • จัดสมดุลกับอาหารครบ 5 หมู่ เพราะการได้รับวิตามินอีจากอาหารธรรมชาติจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากร่างกายได้รับโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันดี วิตามิน และเกลือแร่ที่สมดุล 

เคล็ดลับ: ควรรับประทานอาหารที่มีไขมันดีเล็กน้อย เช่น อะโวคาโด หรือปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ร่วมกับผัก/ผลไม้ที่มีวิตามินอี จะช่วยเพิ่มการดูดซึมให้ดียิ่งขึ้น 

 

2. การทานวิตามินอีจากอาหารเสริม

อาหารเสริมเป็นทางเลือกที่สะดวก โดยเฉพาะสำหรับคนที่รับประทานอาหารไม่หลากหลาย มีปัญหาดูดซึมไขมัน หรือมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ซึ่งต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง ดังนี้ 

  • เลือกตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร ควรตรวจสอบฉลากว่ามีรูปแบบใด (d-alpha-tocopherol = ธรรมชาติ, dl-alpha-tocopherol = สังเคราะห์) เพราะความเข้มข้นและการดูดซึมต่างกัน 
  • ปริมาณไม่ควรเกิน 400 IU ต่อวัน หากไม่มีปัญหาสุขภาพ ถ้าเกินโดยไม่จำเป็น อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดแข็งตัวยาก เลือดออกง่าย และมีการสะสมในร่างกาย 
  • ควรทานพร้อมอาหารที่มีไขมันเล็กน้อยเพื่อช่วยดูดซึม เนื่องจากวิตามินอีละลายในไขมัน การทานร่วมกับอาหารที่มีน้ำมันมะกอก หรือปลา จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมได้มากขึ้น 
  • ระวังการใช้ร่วมกับยาละลายลิ่มเลือดหรือยารักษาโรคบางชนิด เช่น warfarin หรือ aspirin เพราะอาจเสริมฤทธิ์กันจนเสี่ยงเลือดออกง่ายขึ้น ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งหากคุณกำลังทานวิตามินอีเสริม 

เคล็ดลับ: เลือกอาหารเสริมที่ผ่านมาตรฐาน อย. และควรซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพื่อความปลอดภัย 

 

คำแนะนำปริมาณในการรับประทานวิตามิน อี ต่อวัน

 

คำแนะนำปริมาณการรับประทานวิตามิน อี ต่อวัน eXta Plus

โดยทั่วไป ผู้ใหญ่ควรได้รับวิตามินอีวันละประมาณ 15 มก. (22 IU) จากอาหาร แต่หากเลือกในรูปแบบอาหารเสริม แนะนำไม่ควรเกิน 400 IU ต่อวัน หากไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เกี่ยวกับโรคที่ผู้ป่วยเผชิญ ซึ่งปริมาณที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย แบ่งออกเป็น ดังนี้ 

  • ปริมาณที่ร่างกายต้องการ (RDA) จากอาหารเป็นหลัก 
    • เด็กเล็ก 13ปี 6 มก. ≈ 9 IU ต่อวัน 
    • เด็ก 9-13 ปี 11 มก. ≈ 16 IU ต่อวัน 
    • วัยรุ่น 1418 ปี 15 มก.≈ 22 IU ต่อวัน 
    • ผู้ใหญ่ควรได้รับประมาณ 15 มก. ≈ 22 IU ต่อวัน 
    • หญิงให้นมบุตร 19 มก. ≈ 28 IU ต่อวัน 
  • ปริมาณสูงสุดที่ปลอดภัย (UL): ไม่ควรเกิน 1,000 มก./วัน หรือประมาณ 1,500 IU–1,600 IU 
  • ข้อควรระวัง: การรับประทานแบบอาหารเสริมเกิน 400 IU/วัน โดยไม่มีความจำเป็น อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง เช่น ภาวะเลือดออกง่าย และไม่พบว่ามีประโยชน์เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งควรใช้ตามคำสั่งจากแพทย์ 

ทั้งนี้ แม้ขีดสูงสุดที่สถาบันโภชนาการกำหนดไว้จะอยู่ที่ 1,000 มก. แต่ควรถือเป็นปริมาณสูงสุดที่กำหนดไว้ ไม่ใช่ปริมาณที่แนะนำให้ทานจริง  

 

คำถามพบบ่อย เกี่ยวกับ วิตามิน อี อาหาร 

Q: ทานอาหารเสริมวิตามินอีทุกวันดีไหม? 

A: ไม่จำเป็น หากรับประทารอาหารที่หลากหลาย และครบถ้วน แต่หากมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ที่เกี่ยวข้องกับโรคประจำตัว อาจจำเป็นต้องเสริม 

Q: วิตามิน อี ช่วยอะไรบ้าง นอกจากเรื่องผิวสวย? 

A: วิตามินอีมีส่วนช่วยลดการอักเสบ รวมถึงการไหลเวียนของเลือด และลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด แต่ทั้งนี้ ควรเน้นการทานจากอาหารธรรมชาติมากกว่าการพึ่งพาแคปซูลเพียงอย่างเดียว 

Q: คนท้องหรือให้นมบุตรควรทานวิตามินอีเสริมหรือไม่? 

A: ควรได้รับวิตามินอีในปริมาณที่เหมาะสม และไม่ควรเกินขนาด ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ 

Q: วิตามิน อี ควรกินตอนไหนดีที่สุด?  

A: ควรกิน พร้อมอาหารมื้อหลักที่มีไขมันเล็กน้อย (เช่น มื้อกลางวันหรือมื้อเย็น) เพราะวิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

 

สรุป 

วิตามินอี เป็นสารอาหารสำคัญที่มีบทบาทต่อสุขภาพผิว หัวใจ ภูมิคุ้มกัน และการทำงานของเซลล์ในร่างกาย แม้ว่าอาหารเสริมจะเป็นทางเลือกที่สะดวก แต่ การรับประทาน วิตามิน อี อาหาร จากธรรมชาติถือว่าปลอดภัยและได้ประโยชน์หลายด้านมากกว่า ทั้งยังลดความเสี่ยงการสะสมเกินความจำเป็น 

ดังนั้น สำหรับใครที่สามารถเลือกรับประทานอาหารที่หลากหลายครบหมู่ได้ แนะนำให้พึ่งอาหารจากธรรมชาติเพื่อรับวิตามินอีเป็นหลักจะดีที่สุด ส่วนอาหารเสริม ควรใช้เมื่อจำเป็น หรือใช้อย่างถูกต้องและอยู่ภายใต้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ  

 

ที่มา 

Sources of Vitamin E จาก National Institutes of Health

What Is Vitamin E? จาก WebMD 

Vitamin E จาก Mayo Clinic 

How Much Vitamin E Do You Need? จาก The Nutrition Source 

Vitamin E Side Effects จาก Mount Sinai

 


อัปเดตและติดตามสาระสุขภาพดี ๆ จาก ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ได้ที่

LINE: @eXtaPlus (https://bit.ly/eXtaplus)

หากมีข้อสงสัย หรืออยากสอบถามเพิ่มเติม เกี่ยวกับเรื่อง สุขภาพและการใช้ยา สามารถปรึกษากับเภสัชกรได้ที่ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสะดวกมากยิ่งขึ้น สามารถปรึกษาเภสัชกรร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ผ่าน Application ALL PharmaSee ได้ แล้วมาสุขภาพดีไปด้วยกันนะคะ

All Pharma See

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายการใช้คุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์และประเมินผลใช้งาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ช่วยให้เอ็กซ์ต้าเห็นการปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้งานในการใช้บริการเว็บไซต์ของเอ็กซ์ต้า รวมถึงหน้าเพจหรือพื้นที่ใดของเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยม ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูลด้านอื่นๆ เอ็กซ์ต้ายังใช้ข้อมูลนี้เพื่อการปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์และเพื่อเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งาน อย่างไรก็ดี ข้อมูลที่คุกกี้นี้เก็บรวบรวมจะเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้และนำมาใช้วิเคราะห์ทางสถิติเท่านั้น การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้เอ็กซ์ต้าไม่สามารถทราบปริมาณผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ และไม่สามารถประเมินคุณภาพการให้บริการได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการโฆษณา (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้เป็นคุกกี้ที่เกิดจากการเชื่อมโยงเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม ซึ่งเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานและเว็บไซต์ที่ท่านได้เข้าเยี่ยมชม เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่นที่ไม่ใช่เว็บไซต์ของเอ็กซ์ต้า ทั้งนี้หากท่านปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะไม่ส่งผลต่อการใช้งานเว็บไซต์ของเอ็กซ์ต้า แต่จะส่งผลให้การนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่นๆ ไม่สอดคล้องกับความสนใจของท่าน
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึก