เชื้อรา เท้า ปัญหาสุขภาพเล็ก ๆ ที่หลายคนอาจมองข้าม แต่กลับสร้างความรำคาญและอาจลุกลามจนกลายเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนที่เท้ามักเปียกชื้นจากการเดินลุยน้ำหรือตากรองเท้าไม่แห้ง เชื้อราจะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอับชื้น ทำให้เกิดอาการคัน แสบ ผิวลอก หรือมีกลิ่นไม่พึงประสงค์
ด้วยความห่วงใยจาก ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส บทความนี้จึงได้รวบรวมข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับ เชื้อรา เท้า ดูยังไงว่าใช่? พร้อมวิธีสังเกตอาการเบื้องต้น และการดูแลรักษาก่อนเรื้อรัง มาฝากกัน
เชื้อรา เท้า คืออะไร?
เชื้อรา เท้า หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Tinea Pedis เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อรากลุ่ม Dermatophytes โดยเชื้อเหล่านี้มักเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่อับชื้น เช่น รองเท้าที่ไม่แห้งสนิท ถุงเท้าที่ใส่ซ้ำ หรือพื้นที่สาธารณะอย่างห้องอาบน้ำรวม ฟิตเนส และสระว่ายน้ำ
โรคนี้ถือว่าพบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนที่อากาศชื้นและหลายคนต้องเดินลุยน้ำจนทำให้เท้าเปียกตลอดเวลา อาการอาจเริ่มจากเพียง คัน ผิวลอกเล็กน้อย แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่ดูแลก็สามารถลุกลามจนกลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรังได้
สาเหตุของ เชื้อรา เท้า เกิดจากอะไรบ้าง?
การติดเชื้อรา เท้า ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลมาจากหลายสาเหตุที่เอื้อให้เชื้อราสามารถเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้ง่าย หากเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ก็จะช่วยให้สามารถป้องกันและลดความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น
- เกิดจากความอับชื้น เชื้อราชื่นชอบสภาพแวดล้อมที่อับและชื้น เช่น ภายในรองเท้าหุ้มส้นที่ใส่นาน ๆ หรือรองเท้าที่เปียกฝนแล้วไม่ได้ตากแดดให้แห้งสนิท ความชื้นที่สะสมทำให้เชื้อราเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นอาการผื่นคันและผิวหนังลอก
- เกิดจากการสัมผัสโดยตรง เช่น พื้นที่สาธารณะอย่างห้องน้ำรวม ฟิตเนส หรือสระว่ายน้ำ เป็นจุดที่เชื้อรามักสะสมอยู่ หากเดินเท้าเปล่าโดยไม่มีการป้องกัน อาการเกิดเชื้อราก็จะสามารถเข้าสู่ผิวหนังได้ทันที โดยเฉพาะในคนที่มีแผลเล็ก ๆ บริเวณเท้า
- เกิดจากการรักษาสุขอนามัยไม่ดีพอ หลายคนที่ชอบล้างเท้าไม่สะอาดหรือไม่เช็ดเท้าให้แห้งหลังอาบน้ำ ความชื้นเล็กน้อยที่ค้างอยู่ตามซอกนิ้วก็เพียงพอที่จะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อราได้
- เกิดจากการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น รองเท้าหรือถุงเท้าที่ใช้ร่วมกัน รวมไปถึงผ้าเช็ดตัว อาจเป็นพาหะนำเชื้อราโดยไม่รู้ตัว เพราะเชื้อสามารถอยู่รอดได้นานในสิ่งของเหล่านี้
- เกิดจากอาการภูมิตก หรือ ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ โดยสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือผู้สูงอายุ มักมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอกว่าปกติ จึงติดเชื้อได้ง่าย และอาการมักรุนแรงกว่าคนทั่วไป
ใครบ้างที่เสี่ยงเกิด เชื้อรา เท้า ได้ง่าย ๆ
- นักกีฬา โดยเฉพาะกีฬาที่ต้องใส่รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าหุ้มตลอดเวลา เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล หรือวิ่ง เนื่องจากเท้ามักอับชื้นและมีเหงื่อสะสม เชื้อราจึงเจริญเติบโตได้ง่าย จนโรคนี้ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Athlete’s Foot
- ผู้ทำงานที่ต้องสวมรองเท้าหุ้มตลอดเวลา เช่น ทหาร ตำรวจ พนักงานโรงงาน หรือพนักงานที่ต้องใส่รองเท้านิรภัย (Safety Shoes) ตลอดทั้งวัน เมื่อเท้าไม่ได้สัมผัสอากาศเลย จะกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อราที่ดี
- คนที่เท้าเปียกชื้นบ่อย ในฤดูฝนหรือตามพื้นที่ที่มักมีน้ำท่วมขัง คนที่ต้องเดินลุยน้ำหรือใส่รองเท้าเปียกตลอดเวลา จะมีความเสี่ยงเป็นราที่เท้าได้สูงมาก
- ผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เนื่องจากภูมิคุ้มกันอ่อนแอกว่าคนทั่วไป ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย และหากเป็นแล้วมักหายช้ากว่า
- คนที่เหงื่อออกมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีเหงื่อออกที่ฝ่าเท้ามากผิดปกติ (Hyperhidrosis) เมื่อเท้ามีเหงื่อสะสมตลอดวัน หากไม่ทำความสะอาดและเปลี่ยนถุงเท้าเป็นประจำ จะมีโอกาสสูงที่จะทำให้เท้าเกิดเชื้อรา
5 อาการของ เชื้อราบริเวณเท้า ที่ควรสังเกต พร้อมดูแลรักษาเบื้องต้น
1. คันบริเวณซอกนิ้วเท้า ที่เกิดจาก เชื้อรา เท้า
อาการคันที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดของ เชื้อรา เท้า มักเริ่มต้นที่ซอกนิ้ว โดยเฉพาะระหว่างนิ้วก้อยและนิ้วนาง เพราะเป็นจุดที่อับชื้น ระบายอากาศได้น้อย หากปล่อยไว้อาจลุกลามจนผิวหนังแตกหรือมีน้ำเหลืองซึมออกมาได้ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงการระคายเคืองธรรมดา แต่แท้จริงแล้วนี่คือสัญญาณแรกของอาการติดเชื้อรา
การดูแลเชื้อราบริเวณเท้าเบื้องต้น
- เช็ดเท้าให้แห้งทุกครั้งหลังอาบน้ำหรือเดินลุยน้ำ โดยใช้ผ้าสะอาดซับตามซอกนิ้วอย่างระมัดระวัง
- เลือกทาแป้งดูดซับความชื้นหรือยาทารักษาเชื้อราที่มีตัวยา Clotrimazole, Miconazole หรือ Econazole
- หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าหุ้มส้นนาน ๆ เพื่อให้เท้าได้ระบายอากาศ
2. ผิวหนังลอกหรือแตก
อีกหนึ่งอาการที่พบได้บ่อยคือ ผิวหนังลอกเป็นขุย โดยเฉพาะบริเวณฝ่าเท้าและส้นเท้า บางรายผิวแตกจนเจ็บหรือแสบ ซึ่งอาจทำให้เดินลำบากและเสี่ยงติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม การปล่อยทิ้งไว้นานอาจทำให้เชื้อราแทรกซึมลึกลงในผิวหนังและรักษายากขึ้น
การดูแลเบื้องต้น
- หลีกเลี่ยงการแกะ เกา หรือขัดถูแรง ๆ เพราะจะทำให้เกิดบาดแผลและติดเชื้อได้ง่าย
- ใช้ครีมยาทาเชื้อราที่มีตัวยา Terbinafine หรือ Ketoconazole ทาบริเวณที่ลอก
- รักษาความชุ่มชื้นของผิวด้วยโลชั่นสูตรอ่อนโยนที่ไม่ก่อให้เกิดการอับชื้น
3. มีกลิ่นเท้าแรงผิดปกติ
กลิ่นเท้าแรงไม่ได้เกิดจากเหงื่อเพียงอย่างเดียว แต่บ่อยครั้งเกิดจากการสะสมของเชื้อราและแบคทีเรียที่เติบโตในสภาพอับชื้น หากกลิ่นแรงจนผิดปกติ ควรระวังว่าอาจเป็นอาการของเชื้อราเท้า ซึ่งหากปล่อยไว้จะทำให้เสียความมั่นใจในการเข้าสังคม
การดูแลเชื้อราเท้าเบื้องต้น
- ซักและเปลี่ยนถุงเท้าทุกวัน โดยเลือกผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย
- แช่เท้าในน้ำเกลืออุ่นหรือน้ำผสมเบกกิงโซดา 10–15 นาที เพื่อช่วยลดเชื้อราและกลิ่น
- ทำความสะอาดรองเท้าเป็นประจำ และนำไปผึ่งแดดเพื่อลดการสะสมของเชื้อรา
4. มีตุ่มน้ำใสหรือหนองเล็ก ๆ
เชื้อราบางชนิดอาจก่อให้เกิดตุ่มน้ำใสเล็ก ๆ บริเวณฝ่าเท้าและซอกนิ้ว รู้สึกคันหรือเจ็บ หากเกาแรง ๆ อาจแตกเป็นแผลและติดเชื้อแบคทีเรียร่วม ทำให้กลายเป็นตุ่มหนองได้ การเจาะตุ่มเองไม่เพียงไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น แต่ยังเสี่ยงทำให้เชื้อแพร่กระจายมากขึ้นอีกด้วย
การดูแลเบื้องต้น
- ห้ามเจาะหรือบีบตุ่มน้ำเอง เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- ใช้ยาทาฆ่าเชื้อราที่มีประสิทธิภาพ เช่น Terbinafine หรือ Ciclopirox
- หากตุ่มมีอาการอักเสบ บวมแดง หรือมีหนอง ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับยาที่เหมาะสม
5. เชื้อราที่เล็บเท้า
เมื่อเชื้อราลุกลามไปถึงเล็บ จะทำให้เล็บหนา แข็ง สีเหลืองหรือสีน้ำตาล เล็บแตกหรือหลุดลอกง่าย อาการนี้เรียกว่า เชื้อราที่เล็บ (Onychomycosis) ซึ่งรักษายากกว่าที่ผิวหนังทั่วไป และมักใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะหาย
การดูแลเชื้อราบริเวณเล็บเท้าเบื้องต้น
- ใช้ยาทาเล็บฆ่าเชื้อราโดยเฉพาะ (antifungal nail lacquer) ที่มีตัวยา Amorolfine หรือ Ciclopirox
- รักษาความสะอาดเล็บ ตัดเล็บสั้น และไม่ใช้กรรไกรตัดเล็บร่วมกับผู้อื่น
- หากเล็บติดเชื้อรุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อรับยาฆ่าเชื้อราชนิดรับประทาน ซึ่งต้องกินต่อเนื่องเป็นเดือน
วิธีเลือกใช้ยาในการรักษา หรือบรรเทาอาการ เชื้อรา เท้าอย่างถูกต้อง
การรักษาเชื้อรา เท้า สามารถทำได้ทั้งแบบใช้ยาทาเฉพาะที่ และยารับประทาน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ โดยควรเลือกใช้ยาอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด
ซึ่งยาประเภทก็จะมีทั้งแบบในกลุ่มของตัวยาสามัญประจำบ้านที่หาซื้อได้ง่าย กับตัวยาที่ออกฤทธิ์แรง เสี่ยงมีผลข้างเคียงต่อตับ ไต ที่อาจจะต้องใช้ตามใบสั่งและการดูแลของแพทย์เท่านั้น
1. ยาทารักษาเชื้อรา เท้า (Topical Antifungal)
เหมาะกับผู้ที่เพิ่งเริ่มมีอาการหรือเชื้อรายังไม่ลุกลามมาก ใช้สะดวกและปลอดภัย
- ตัวยาที่นิยมใช้: Clotrimazole, Miconazole, Terbinafine, Ketoconazole, Ciclopirox
- วิธีใช้
- ล้างเท้าและเช็ดให้แห้งก่อนทายา
- ทาบริเวณที่เป็นเชื้อราและรอบ ๆ วันละ 2 ครั้ง หรือใช้ตามคำแนะนำในฉลาก
- ควรใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 2–4 สัปดาห์ แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
- ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยงการหยุดยาเองเมื่ออาการทุเลา เพราะเชื้อราอาจยังคงอยู่ใต้ผิวหนัง
2. ยารับประทาน (Oral Antifungal)
ใช้ในกรณีที่เชื้อราลุกลามมาก เป็นเรื้อรัง หรือกระจายไปถึงเล็บ ซึ่งยาทาเพียงอย่างเดียวอาจเอาไม่อยู่
- ตัวยาที่ใช้บ่อย
- Terbinafine : มักใช้รักษาเชื้อราที่เล็บและผิวหนัง ใช้เวลารักษา 6–12 สัปดาห์
- Itraconazole : มีฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อได้กว้าง เหมาะกับกรณีติดเชื้อหลายตำแหน่ง
- Fluconazole : ใช้ได้กับผู้ที่ไม่สามารถทนต่อยาอื่นได้
- ข้อควรระวัง
- ยากลุ่มนี้อาจมีผลข้างเคียงต่อตับและไต จึงควรใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น
- ห้ามซื้อยามารับประทานเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเกิดอันตรายหรือดื้อยาได้
พฤติกรรมแบบไหนที่ไม่ควรทำ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเชื้อราบริเวณเท้า
- ไม่ใส่รองเท้าเปียกหรือยังไม่แห้งสนิท
- ไม่ใส่ถุงเท้าซ้ำ ควรซักและตากแดด
- หลีกเลี่ยงการใช้รองเท้า/ผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น
- ไม่เดินเท้าเปล่าในห้องน้ำสาธารณะ
- ไม่ละเลยอาการคันหรือผิวลอกเล็ก ๆ เพราะอาจลุกลามได้
การใช้สิทธิบัตรทองเพื่อรับยารักษา อาการเชื้อรา เท้า
สำหรับผู้ป่วยที่กำลังเผชิญเชื้อรา เท้า รวมถึงมีอาการคันยุบยิบ และต้องการยาบรรเทาอาการให้ดีขึ้นสามารถใช้สิทธิบัตรทอง เพื่อรับบริการที่ร้านยาที่เข้าร่วม “โครงการร้านยาคุณภาพของฉัน ให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 32 อาการ” ได้ ซึ่งจะมีเภสัชกรคอยให้คำปรึกษา และจ่ายยาที่จำเป็นโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ผู้ที่ต้องการใช้สิทธิบัตรทองสำหรับรักษาอาการคันที่ร้านยา สามารถตรวจสอบรายชื่อร้านยาใกล้บ้านได้ผ่านแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) [เช็กรายชื่อร้านยาได้ที่นี่] โดยร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ได้เข้าร่วมโครงการสิทธิบัตรทอง พร้อมให้บริการ Delivery จัดส่งยาและสินค้าสุขภาพถึงบ้าน ผ่านแอปพลิเคชัน ALL PharmaSee
ใช้บริการ Delivery คลิกเลย!
3 คำถามพบบ่อย เกี่ยวกับ การเกิดเชื้อรา เท้า
Q: เชื้อรา เท้า สามารถหายเองได้ไหม?
A: หากอาการไม่รุนแรงและดูแลสุขอนามัยดีขึ้น บางครั้งอาจดีขึ้นได้ แต่ส่วนใหญ่ควรใช้ยารักษาร่วมด้วย
Q: หากใช้ยาทาเพียงอย่างเดียว จะดีขึ้นหรือไม่?
A: ถ้าอาการยังไม่ลุกลาม การใช้ยาทามักจะเพียงพอต่อการรักษา แต่หากเชื้อลามไปเล็บหรือเป็นหนัก ควรใช้ยารับประทานร่วมด้วย
Q: เชื้อรา เท้า สามารถติดต่อได้ไหม?
A: สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อ เช่น ห้องน้ำรวม รองเท้า ถุงเท้า เป็นต้น
สรุป
เชื้อรา เท้าเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในหน้าฝนที่เท้ามักจะพบกับการเปียกชื้น ซึ่งอาการเริ่มต้นของการติดเชื้อดังกล่าวมักจะเกิดอาการคัน ผิวลอก มีกลิ่น หรือมีตุ่มน้ำ หากสังเกตและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้ลุกลามเป็นเรื้อรังได้
ดังนั้น หากผู้ป่วยเริ่มมีอาการที่เข้าข่าย เท้าเป็นเชื้อรา ควรรีบทำการดูแลเบื้องต้นทันที เช่น การรักษาความสะอาด หรือเลือกใช้กลุ่มยาที่เหมาะสม โดยหากอาการไม่ดีขึ้น รีบพบแพทย์ผิวหนังทันที เพื่อป้องกันปัญหาการเกิดเชื้อราในระยะยาว
ที่มา
Tinea pedis จาก DermNet
Symptoms of athlete’s foot จาก National Health Service (NHS)
Athlete’s foot – Symptoms and causes จาก Mayo Clinic
Treatment of Ringworm and Fungal Nail Infections จาก CDC
Everything you need to know about athlete’s foot จาก Medical News Today
อัปเดตและติดตามสาระสุขภาพดี ๆ จาก ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ได้ที่
หากมีข้อสงสัย หรืออยากสอบถามเพิ่มเติม เกี่ยวกับเรื่อง สุขภาพและการใช้ยา สามารถปรึกษากับเภสัชกรได้ที่ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสะดวกมากยิ่งขึ้น สามารถปรึกษาเภสัชกรร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ผ่าน Application ALL PharmaSee ได้ แล้วมาสุขภาพดีไปด้วยกันนะคะ
บทความที่เกี่ยวข้อง