เป็นไข้แล้วหูอื้อ วิธีแก้ หนึ่งในคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับ “หู” ที่หลายคนมักจะมีการค้นหากันเกิดขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน ที่มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิภายในอากาศ ซึ่งสามารถทำให้เสี่ยงต่อการเป็นไข้หวัด และอาจทำให้เกิดอาการ “หูอื้อ” ได้
ด้วยความห่วงใยจาก ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส บทความนี้จึงได้รวบรวมข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับ เป็นไข้แล้วหูอื้อ 5 วิธีแก้ ที่ช่วยให้อาการดีขึ้นในช่วงหน้าฝน มาฝากกัน
ทำความรู้จักกับ “อาการเป็นไข้แล้วหูอื้อ”
หูอื้อจากไข้ หมายถึง ภาวะการได้ยินเสียงลดลงชั่วคราว หรือมีเสียงอู้อี้ในหูขณะป่วยจากโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น เป็นหวัด เจ็บคอ ปวดหู, ไซนัสอักเสบ หรือโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เป็นต้น
ซึ่งอาการนี้มักเกิดจากความผิดปกติของ ท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube) ทำหน้าที่เชื่อมระหว่างหูชั้นกลางกับโพรงจมูกและลำคอ เพื่อควบคุมความดันอากาศในหูของเราให้มีความสมดุลกับภายนอก และระบายของเหลวออกจากหูชั้นกลาง
โดยหากท่อยูสเตเชียน เกิดการอักเสบหรือบวม อาจส่งผลทำให้การระบายอากาศของเหลวติดขัด จนเกิดแรงดันในหู และทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเหมือนมีน้ำในหูตลอดเวลา หรือ หูวิ้งชั่วขณะ
สาเหตุอาการเป็นไข้แล้วหูอื้อ เกิดจากอะไร ?
อาการตัวร้อนหูอื้อ หรือ มีไข้หูอื้อ ถือเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยกับทุกเพศทุกวัย และสร้างความรำคาญใจให้กับผู้ป่วยได้อยู่ไม่น้อย ซึ่งอาการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากไข้โดยตรง แต่เกิดจากผลข้างเคียงของอาการไข้ต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่ออวัยวะภายในหูของเรา เช่น
- การอักเสบและบวม จากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียจากไข้หวัดทำให้เยื่อบุรอบท่อยูสเตเชียนบวม
- การอุดตันจากน้ำมูก เมื่อเป็นไข้หวัด น้ำมูกที่เกิดขึ้นจะมีปริมาณมากและมีความข้นเหนียวมากขึ้น บางครั้งอาจไหลย้อนกลับเข้าไปในท่อยูสเตเชียนและหูชั้นกลาง
- การสะสมของของเหลว เมื่อท่อยูสเตเชียนอุดตัน ของเหลวที่ผลิตในหูชั้นกลาง จะไม่สามารถระบายออกได้ตามปกติ จึงเกิดการสะสมและคั่งอยู่ภายใน ซึ่งจะไปกดทับกับเยื่อแก้วหู และทำให้การส่งผ่านเสียงลดลง อันส่งผลต่อการได้ยิน และทำให้มีอาการหูอื้อที่ชัดเจน
4 ปัจจัยที่ทำให้ “อาการเป็นไข้แล้วหูอื้อ” รุนแรงขึ้น
อาการหูอื้อเป็นไข้ และหูอื้อไม่สบาย นอกจากจะเกิดจากอาการไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่แล้ว ก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถทำให้อาการดังกล่าวรุนแรงและน่ากังวลมากขึ้นอีกด้วย ดังนั้น หากผู้ป่วยมีอาการที่แย่ลง อันเกิดจาก 4 ปัจจัยเหล่านี้ร่วมด้วย ควรรีบพบแพทย์ หรือเลี่ยงสถานการณ์เหล่านั้นจะดีที่สุด เช่น
- ไซนัสอักเสบ หากไข้หวัดธรรมดาลุกลามไปสู่การอักเสบของโพรงไซนัส (ไซนัสอักเสบ) น้ำมูกและของเหลวที่คั่งในไซนัสจะไปกดทับท่อยูสเตเชียน และทำให้การระบายอากาศแย่ลงได้
- การติดเชื้อในหูชั้นกลาง โดยหากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียจากไข้หวัดลามเข้าสู่หูชั้นกลางโดยตรง จะทำให้เกิดการติดเชื้อที่รุนแรงขึ้น มีอาการปวดหูอย่างรุนแรงและมีไข้สูงร่วมด้วย ซึ่งต้องได้รับการรักษาจากแพทย์โดยด่วน
- ภูมิแพ้อากาศ สำหรับผู้ที่มีภาวะภูมิแพ้ เมื่อต้องเผชิญกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น ละอองเกสร หรือเชื้อราในหน้าฝน ร่างกายจะหลั่งสารฮีสตามีน ทำให้เยื่อบุในจมูกและคอบวม คล้ายกับอาการไข้หวัดและส่งผลให้เกิดอาการหูอื้อได้เช่นกัน
- การเปลี่ยนแรงดันอากาศกะทันหัน ในระหว่างที่ป่วยเป็นไข้และท่อยูสเตเชียนกำลังอักเสบอยู่ หากมีการเดินทางโดยเครื่องบินหรือขึ้นลิฟต์สูง ๆ แรงดันอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจะยิ่งทำให้ท่อนี้ทำงานได้ยากขึ้น และทำให้อาการหูอื้อยิ่งเด่นชัดและสร้างความไม่สบายอย่างมาก
โดยสรุปแล้ว อาการหูอื้อขณะเป็นไข้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติในการทำงานของท่อยูสเตเชียน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลบรรเทาอาการอย่างเหมาะสม หากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ควรรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
เป็นไข้แล้วหูอื้อ วิธีแก้ มีอะไรบ้าง?
สำหรับอาการหูอื้อแก้ยังไงนั้น ผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการเบื้องต้นได้ในหลายวิธี ซึ่งจะมีทั้งวิธีแบบธรรมชาติและการใช้ยาบรรเทาอาการ โดยสามารถทำได้ ดังนี้
แบบที่ 1: เป็นไข้แล้วหูอื้อ วิธีแก้แบบธรรมชาติ
วิธีนี้ถือเป็นแนวทางที่เน้นการปรับสภาวะร่างกายให้เหมาะสมเพื่อช่วยให้ท่อยูสเตเชียนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา เช่น
- นั่งพักในท่ากึ่งนอน การยกศีรษะให้สูงกว่าลำตัวเล็กน้อยจะช่วยให้ของเหลวที่คั่งอยู่ในหูชั้นกลางสามารถระบายออกได้ง่ายขึ้น ลดแรงดันภายในหูและบรรเทาอาการหูอื้อได้
- หายใจลึกและกลืนน้ำลายบ่อย ๆ การกลืนหรือการหาวจะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณลำคอขยับ ซึ่งเป็นการเปิดท่อยูสเตเชียนและช่วยปรับความดันอากาศในหูชั้นกลางให้สมดุลกับบรรยากาศภายนอก
- ประคบอุ่นรอบใบหู โดยใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาดมาประคบบริเวณหูจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ลดการอักเสบและการบวม และเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในบริเวณนั้น
- หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรง ๆ พราะการสั่งน้ำมูกอย่างรุนแรงอาจทำให้แรงดันภายในโพรงจมูกเพิ่มขึ้น และดันเชื้อโรคหรือของเหลวเข้าสู่หูชั้นกลางได้ ซึ่งอาจทำให้อาการแย่ลงหรือนำไปสู่การติดเชื้อในหู
- ดื่มน้ำมาก ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ การรักษาร่างกายให้ชุ่มชื้นและพักผ่อนอย่างเต็มที่คือหัวใจสำคัญของการฟื้นตัว ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้นและลดการอักเสบโดยรวมของร่างกาย
แบบที่ 2: เป็นไข้แล้วหูอื้อ วิธีแก้โดยการใช้ยาและการรักษาทางการแพทย์
โดยหากอาการไม่ดีขึ้นด้วยวิธีธรรมชาติ หรือมีอาการรุนแรงการใช้ยาและการปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุให้ดีขึ้น เช่น
- การใช้ยาลดอาการคัดจมูก (Decongestant) หากเป็นหวัดมา 2 อาทิตย์แล้วยังไม่หาย แพทย์อาจสั่งยา เช่น ซูโดอีเฟดรีน (pseudoephedrine) หรือสเปรย์พ่นจมูกที่มีออกซีเมทาโซลีน (oxymetazoline) ที่ช่วยลดบวมของเยื่อบุจมูกและคอ และทำให้ท่อยูสเตเชียนทำงานดีขึ้น ทั้งนี้สเปรย์จมูกควรใช้ระยะสั้นไม่เกิน 3–5 วันเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะคัดจมูกจากยา รวมถึงควรหลีกเลี่ยงในผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน หรือกำลังตั้งครรภ์/ให้นมบุตร เว้นแต่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- ยาต้านฮีสตามีน เหมาะกับกรณีที่อาการหูอื้อเกิดร่วมกับอาการภูมิแพ้ ยาต้านฮีสตามีน จะช่วยลดการบวมของเยื่อบุจมูกที่เกิดจากปฏิกิริยาแพ้
- ยาลดไข้และบรรเทาปวด โดยมักจะอยู่ในกลุ่มของยาสามัญประจำบ้าน เช่น พาราเซตามอล (paracetamol) หรือ ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) จะช่วยลดไข้และอาการอักเสบโดยรวม บรรเทาอาการปวดหูที่อาจเกิดขึ้น
- การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ การใช้น้ำเกลือล้างจมูกอย่างถูกวิธีจะช่วยชะล้างน้ำมูกและสารก่อภูมิแพ้ที่คั่งอยู่ในโพรงจมูก ลดการอักเสบและการอุดตันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การรักษาโดยแพทย์ หากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง เช่น มีอาการปวดหูรุนแรง มีไข้สูงไม่ลดลง หรือมีของเหลวไหลออกจากหู ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ซึ่งแพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ยา ยาปฏิชีวนะ หากตรวจพบว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียในหูชั้นกลาง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
เป็นไข้แล้วหูอื้อแบบไหนควรรีบพบแพทย์
- มีไข้สูงเกิน 39°C ร่วมกับปวดหูรุนแรง อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อแบคทีเรียในหูชั้นกลาง (Otitis media) หรือหูชั้นใน (Labyrinthitis) ซึ่งต้องใช้ยาปฏิชีวนะหรือการรักษาเฉพาะ
- มีน้ำหรือหนองไหลออกจากหู มักเกิดจากการติดเชื้อรุนแรงที่ทำให้แก้วหูทะลุ หรือการอักเสบในหูชั้นกลาง ซึ่งหากปล่อยไว้อาจลามไปสู่การติดเชื้อในกระดูกขมับหรือเยื่อหุ้มสมองได้
- หูอื้อเกิน 7–10 วันโดยไม่ดีขึ้น อาจเป็นสัญญาณว่ามีของเหลวคั่งในหูชั้นกลาง และจำเป็นต้องตรวจด้วยเครื่องมือแพทย์และอาจต้องดูดของเหลวออก
- เวียนศีรษะบ้านหมุน สูญเสียการทรงตัว ควรพบแพทย์โดยด่วน เพราะหากปล่อยไว้อาจทำให้เกิดความผิดปกติถาวรของการทรงตัว
- การได้ยินลดลงชัดเจนหรือสูญเสียการได้ยินทันที ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ ที่ต้องได้รับการรักษาภายใน 24–72 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มโอกาสฟื้นฟูการได้ยินกลับมา
การใช้สิทธิบัตรทอง สำหรับผู้ที่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ทางหู เพื่อรับยารักษา
สำหรับผู้ที่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ทางหูจาก “ไข้” และต้องการหาวิธีแก้ไขให้อาการหายดีขึ้น สามารถใช้สิทธิบัตรทอง เพื่อรับบริการที่ร้านยาที่เข้าร่วม “โครงการร้านยาคุณภาพของฉัน ให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 32 อาการ” ได้ ซึ่งจะมีเภสัชกรคอยให้คำปรึกษา และจ่ายยาที่จำเป็นโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ผู้ที่ต้องการใช้สิทธิบัตรทองสำหรับรักษาอาการคันที่ร้านยา สามารถตรวจสอบรายชื่อร้านยาใกล้บ้านได้ผ่านแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) [เช็กรายชื่อร้านยาได้ที่นี่] โดยร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ได้เข้าร่วมโครงการสิทธิบัตรทอง พร้อมให้บริการ Delivery จัดส่งยาและสินค้าสุขภาพถึงบ้าน ผ่านแอปพลิเคชัน ALL PharmaSee
ใช้บริการ Delivery คลิกเลย!
คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับ เป็นไข้แล้วหูอื้อ วิธีแก้
Q: อาการหูอื้อจากไข้จะหายเองไหม?
A: ส่วนใหญ่แล้วอาการหูอื้อจากไข้จะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 1–2 สัปดาห์ เมื่อร่างกายฟื้นตัวจากการติดเชื้อและการอักเสบลดลง แต่หากมีอาการต่อเนื่องนานเกิน 2 สัปดาห์ หรือมีอาการปวดหูมากขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาภาวะแทรกซ้อน เช่น น้ำคั่งในหูชั้นกลาง หรือการติดเชื้อ
Q: ใช้ยาหยอดหูช่วยได้หรือไม่?
A: ไม่ควรใช้ยาหยอดหูเองหากไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน เพราะหูอื้อจากไข้ส่วนใหญ่มักเกิดจากการอุดตันของท่อยูสเตเชียนหรือของเหลวในหูชั้นกลาง ซึ่งยาหยอดหูทั่วไปไม่สามารถแก้ปัญหาได้
Q: ออกกำลังกายได้ไหมถ้ายังหูอื้อ?
A: ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่เพิ่มแรงดันในหู เช่น ว่ายน้ำ ดำน้ำ หรือการยกของหนัก จนกว่าอาการไข้และหูอื้อจะหายสนิท
สรุป
เป็นไข้แล้วหูอื้อ วิธีแก้ สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การดูแลตัวเองแบบธรรมชาติ เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ ประคบแบบอุ่น หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรง ๆ หรือ วิธีใช้ยาบรรเทาตามคำแนะนำของแพทย์ เป็นต้น ซึ่งโดยทั่วไปอาการดังกล่าวมักจะดีขึ้นภายในไม่กี่วัน แต่หากมีอาการรุนแรงหรือมีสัญญาณอันตราย ไม่ว่าจะเป็น ไข้สูงเกิน 39°C ร่วมกับปวดหูรุนแรง, มีน้ำหรือหนองไหลออกจากหู, บ้านหมุน และสูญเสียการได้ยินฉับพลัน ควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อป้องกันอาการที่อาจส่งผลเสียต่อการได้ยินในระยะยาว
ที่มา
การรับมือ “หูอื้อ” จาก โรงพยาบาลรามาธิบดี
How to Treat Ear Pain Brought on by a Common Cold จาก Healthline
Eustachian Tube Dysfunction จาก Clevelandclinic
Decongestants จาก NHS
Plugged ears: What is the remedy? จาก Mayoclinic
อัปเดตและติดตามสาระสุขภาพดี ๆ จาก ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ได้ที่
หากมีข้อสงสัย หรืออยากสอบถามเพิ่มเติม เกี่ยวกับเรื่อง สุขภาพและการใช้ยา สามารถปรึกษากับเภสัชกรได้ที่ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสะดวกมากยิ่งขึ้น สามารถปรึกษาเภสัชกรร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ผ่าน Application ALL PharmaSee ได้ แล้วมาสุขภาพดีไปด้วยกันนะคะ
บทความที่เกี่ยวข้อง